แต่หารู้ไม่ว่าชื่อนี้มีพื้นความหลังยังไง และประวัติที่น่าสนใจเพียงไร
จิตร ภูมิศักดิ์ เกิดวันที่ 25 กันยายน 2473
เดิมชื่อ สมจิตร เกิดที่ตำบลประจันตคาม ปราจีนบุรี
จบการศึกษาชั้นมัธยมปลายจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาและเข้าศึกษาต่อที่คณะ
อักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย......
จิตรมีวี่แววเป็นนักคิด ตั้งแต่เรียนหนังสือในรั้วมหาวิทยาลัย ได้รับการถ่ายทอดความรู้จาก ดร.วิลเลี่ยม เจ เก็ตนีย์ ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายภาษาโบราณตะวันออกและ ศาสตราจารย์พระยาอนุมาราชธน ทำให้แตกฉานทั้งภาษาไทยและภาษาเพื่อนบ้าน.....
จิตร เป็นสาราณียกรของหนังสือจุฬาลงกรณ์ ฉบับ 23 ตุลาคม ปีนั้น ทำให้หนังสือเล่มนี้ มีสาระแหวกแนวจากแบบฉบับทุกปีที่กล่าวถึงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วยความ ภาคภูมิใจ น้องพี่สีชมพู ไปพูดถึงความเดือดร้อน ความไม่เท่าเทียมกันในสังคมระหว่างฝ่ายปกครองประเทศ เผด็จการทหารและประชาชน จึงไม่เป็นที่พอใจคนในรั้วมหาวิทยาลัย และถูกมาตราการ "โยนบก" ของกลุ่มนิสิตวิศวกรรมศาสตร์ จนได้รับบาดเจ็บ......
หลังจากจบการ ศึกษาแล้ว จิตรได้เข้าร่วมกิจกรรมกับนิสิตนักศึกษาที่รักระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย ได้ร่วมกิจกรรมต่างๆ จนถูกรัฐบาลเผด็จการทหารในขณะนั้น จับกุมข้อเป็น "คอมมิวนิสต์" ถูกจำคุกในลาดยาว เป็นเวลา 6 ปี.....
ในระหว่างที่ถูกจำ คุกอยู่ จิตร ได้ศึกษาต่อเนื่องและได้ผลิตผลงานทางวิชาการเป็นที่ยอมรับว่าเป็นผลงานชั้น เยี่ยมคือ "ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อ ชนชาติ"........
หลังจากถูกปล่อยตัวแล้ว จิตร ภูมิศักดิ์ ได้เข้าร่วมขบวนการกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยทางอิสาน ด้วยเหตุผลต้องการเห็นการปกครองอยู่ในเผด็จการทหาร ประชาชนที่มีความคิดเห็นแตกต่าง ได้รับการกดดัน ทำร้าย หรือถูกกุมขัง ......
จิตร อยากเห็นการปกครองแบบประชาธิปไตย สังคมที่เป็นธรรม จึงเข้าไปมีส่วนร่วมในขบวนการกับพรรคคอมมิวนิสต์ เผื่อว่าจะได้เสนอแนวความคิดของตนเองให้กับพรรคได้......
วันนี้ จิตร ภูมิศักดิ์ ได้เสียชีวิตไปแล้ว ณ ชายป่าบ้านหนองกุง สกลนคร เมื่อวันที่ 5 พฤกษภาคม 2509 ประวัติและผลงานของเขา เป็นที่ยอมรับในวันเวลาต่อมา โดยเฉพาะช่วงเวลา หลัง 14 ตุลาคม 2516 ในฐานะนักคิด นักวิชาการ นักภาษาศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ และนักปฎิวัติเพื่อให้สังคมไทยดีกว่าที่เป็นอยู่.....
จิตรมีวี่แววเป็นนักคิด ตั้งแต่เรียนหนังสือในรั้วมหาวิทยาลัย ได้รับการถ่ายทอดความรู้จาก ดร.วิลเลี่ยม เจ เก็ตนีย์ ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายภาษาโบราณตะวันออกและ ศาสตราจารย์พระยาอนุมาราชธน ทำให้แตกฉานทั้งภาษาไทยและภาษาเพื่อนบ้าน.....
จิตร เป็นสาราณียกรของหนังสือจุฬาลงกรณ์ ฉบับ 23 ตุลาคม ปีนั้น ทำให้หนังสือเล่มนี้ มีสาระแหวกแนวจากแบบฉบับทุกปีที่กล่าวถึงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วยความ ภาคภูมิใจ น้องพี่สีชมพู ไปพูดถึงความเดือดร้อน ความไม่เท่าเทียมกันในสังคมระหว่างฝ่ายปกครองประเทศ เผด็จการทหารและประชาชน จึงไม่เป็นที่พอใจคนในรั้วมหาวิทยาลัย และถูกมาตราการ "โยนบก" ของกลุ่มนิสิตวิศวกรรมศาสตร์ จนได้รับบาดเจ็บ......
หลังจากจบการ ศึกษาแล้ว จิตรได้เข้าร่วมกิจกรรมกับนิสิตนักศึกษาที่รักระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย ได้ร่วมกิจกรรมต่างๆ จนถูกรัฐบาลเผด็จการทหารในขณะนั้น จับกุมข้อเป็น "คอมมิวนิสต์" ถูกจำคุกในลาดยาว เป็นเวลา 6 ปี.....
ในระหว่างที่ถูกจำ คุกอยู่ จิตร ได้ศึกษาต่อเนื่องและได้ผลิตผลงานทางวิชาการเป็นที่ยอมรับว่าเป็นผลงานชั้น เยี่ยมคือ "ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อ ชนชาติ"........
หลังจากถูกปล่อยตัวแล้ว จิตร ภูมิศักดิ์ ได้เข้าร่วมขบวนการกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยทางอิสาน ด้วยเหตุผลต้องการเห็นการปกครองอยู่ในเผด็จการทหาร ประชาชนที่มีความคิดเห็นแตกต่าง ได้รับการกดดัน ทำร้าย หรือถูกกุมขัง ......
จิตร อยากเห็นการปกครองแบบประชาธิปไตย สังคมที่เป็นธรรม จึงเข้าไปมีส่วนร่วมในขบวนการกับพรรคคอมมิวนิสต์ เผื่อว่าจะได้เสนอแนวความคิดของตนเองให้กับพรรคได้......
วันนี้ จิตร ภูมิศักดิ์ ได้เสียชีวิตไปแล้ว ณ ชายป่าบ้านหนองกุง สกลนคร เมื่อวันที่ 5 พฤกษภาคม 2509 ประวัติและผลงานของเขา เป็นที่ยอมรับในวันเวลาต่อมา โดยเฉพาะช่วงเวลา หลัง 14 ตุลาคม 2516 ในฐานะนักคิด นักวิชาการ นักภาษาศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ และนักปฎิวัติเพื่อให้สังคมไทยดีกว่าที่เป็นอยู่.....
นอกจากนี้แล้วบทกลอนที่จิตร ได้ทิ้งไว้ให้ได้หวนนึกถึงคือ
เปิบข้าวทุกคราวคำ จงสูจำเป็นอาจิณ
เหงื่อกูที่สูกิน จึงก่อเกิดมาเป็นคน
ข้าวนี้นะมีรส ให้ชนชิมทุกชั้นชน
เบื้องหลังสิทุกข์ทน และขมขื่นจนเขียวคาว
จากแรงมาเป็นรวง ระยะทางนั้นเหยียดยาว
จากรวงเป็นเม็ดพราว ล้วนทุกข์ยากลำเค็ญเข็ญ
เหงื่อหยดสักกี่หยาด ทุกหยดหยาดล้วนยากเย็น
ปูดโปนกี่เส้นเอ็น จึงแปรรวงมาเปิบกิน
น้ำเหงื่อที่เรื่อแดง และน้ำแรงอันหลั่งริน
สายเลือดกูทั้งสิ้น ที่สูซดกำซาบฟัน
เหงื่อกูที่สูกิน จึงก่อเกิดมาเป็นคน
ข้าวนี้นะมีรส ให้ชนชิมทุกชั้นชน
เบื้องหลังสิทุกข์ทน และขมขื่นจนเขียวคาว
จากแรงมาเป็นรวง ระยะทางนั้นเหยียดยาว
จากรวงเป็นเม็ดพราว ล้วนทุกข์ยากลำเค็ญเข็ญ
เหงื่อหยดสักกี่หยาด ทุกหยดหยาดล้วนยากเย็น
ปูดโปนกี่เส้นเอ็น จึงแปรรวงมาเปิบกิน
น้ำเหงื่อที่เรื่อแดง และน้ำแรงอันหลั่งริน
สายเลือดกูทั้งสิ้น ที่สูซดกำซาบฟัน
ที่ยังคงทิ้งไว้ตราบชั่วปัจจุบัน เพื่อเรียกร้องเสมอภาคเท่าเทียมในสังคม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น