เมื่อ สัปดาห์ที่ผ่านดิฉันได้ทีโอก่สไปเที่ยวที่ภูพาน เพื่อไปเยี่ยมชมธรรมชาติ
พร้อมทั้งได้รับฟังคำอธิบายดีๆจากเจ้าหน้าที่อุทยาน
ซึ่งภายในอุทยานแห่งชาติภูพานเป็นป่าเต็งรังที่มีลักษณะที่ไม่เหมือนป่าแถบอื่น
ดิฉันเลยอยากพาทุกคนเข้าไปสัมผัสกับป่าเต็งรังกันว่ามันมายังไง
ป่าเต็งรัง
Deciduous Dipterocarp Forest
ถิ่นการกระจาย
ป่าเต็งรังเป็นสังคม
หนึ่งในกลุ่มป่าผลัดใบ
ฉะนั้นลักษณะสำคัญในอันดับแรกของการจำแนกคือ
การผลัดใบของไม้ส่วนใหญ่ในทุกระดับชั้นเรือนยอด
ลำดับต่อไปในการจำแนก ป่าเต็งรังมีถิ่นกระจายโดยกว้าง ๆ
ซ้อนทับกันอยู่กับป่าผสมผลัดใบแต่อาจแคบกว่าเล็กน้อย
ทั้งนี้เนื่องจากปัจจัยกำหนดที่เกี่ยวข้องกับความแห้งแล้ง
สังคมพืชชนิดนี้แท้จริงแล้วมีพบในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยเฉพาะประเทศไทย ลาว กัมพูชา เมียนมาร์
และบางส่วนของประเทศเวียดนามเท่านั้น
ในประเทศอินเดียอาจมีป่าซาลที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันกระจายอยู่ในบางส่วน
เฉพาะประเทศไทย
มีปรากฏตั้งแต่จังหวัดเพชรบุรีขึ้นไปจนถึงเหนือสุดในจังหวัดเชียงราย
ป่าชนิดนี้เป็นสังคมพืชเด่นในทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ส่วนใหญ่ปรากฏสลับกันไปกันป่าผสมผลัดใบคือยึดครองในส่วนที่พื้นที่มีความ
แห้งแล้งจัด กักเก็บน้ำได้เลว เช่น บนสันเนิน
พื้นที่ราบที่เป็นทรายจัด มีหินบนผิวดินมาก หรือ
บนดินลูกรังที่มีชั้นของลูกรังตื้น
มีปรากฏตั้งแต่ความสูงจากระดับน้ำทะเล 50 เมตร ขึ้นไปจนถึง 1,000
เมตร
ปัจจัยกำหนดในการเกิดป่าเต็งรัง
ป่าเต็งรังที่ขึ้นอยู่ในพื้นที่ที่ฤดูกาลแบ่งแยกค่อนข้างชัดเจนระหว่างฤดูฝน
กับฤดูแล้ง ปกติต้องมีช่วงแห้งแล้งจัดเกินกว่า 4
เดือนต่อปี ดินตื้นกักเก็บน้ำได้เลวมาก
ปริมาณน้ำฝนอยู่ในช่วง 900-1,200 มิลลิเมตรต่อปี
ไฟป่าเกิดขึ้นเป็นประจำจนนักนิเวศวิทยาหลายท่านเชื่อว่าสังคมป่าชนิดนี้เป็น
สังคมถาวรที่มีไฟป่าเป็นตัวกำหนด (pyric climax
community) หากไม่มีไฟป่าจะคงอยู่ไม่ได้
ปกติไฟป่ามักเกิดขึ้นช่วงเดือนธันวาคมไปจนถึงเดือนมีนาคม
ไฟเป็นปัจจัยสำคัญต่อการจัดโครงสร้าง
การคงชนิดพันธุ์ในสังคมและการสืบพันธุ์ของไม้ในพื้นที่
สัตว์ในป่าเต็งรัง
อันเนื่องมาจากโครง
สร้างของสังคมพืชที่คล้ายคลึงกับป่าผสมผลัดใบ
สัตว์ป่าของป่าเต็งรังจึงมีลักษณะเช่นเดียวกัน
คือมีปริมาณของสัตว์กินพืชที่บนผิวดินค่อนข้างมากทั้งจำนวนและชนิดพันธุ์และ
ความมากมายในแต่ละชนิดพันธุ์
สัตว์ป่าที่พบมักไม่อาศัยอยู่ประจำในสังคมพืชเดียวจึงไม่สามารถถือได้ว่า
เป็นสัตว์ประจำของสังคมใดสังคมหนึ่ง
อย่างไรก็ตามสัตว์ที่พบเห็นได้บ่อยและเข้าใช้สังคมพืชนี้เป็นประจำมีดังนี้
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ได้แก่ วัวแดง กวางป่า เก้ง
กระต่ายป่า กระแตเหนือ กระเล็น กระจ้อน เม่นหางพวง ลังกัง
ส่วนกระทิงและช้างป่าเข้ามาใช้เป็นแหล่งอาหารในช่วงฤดูฝน
สัตว์ผู้ล่าที่สำคัญ ได้แก่ หมาจิ้งจอก หมาใน เสือปลา
แมวดาว และเสือดาว
นกในป่าเต็งรังปรากฏว่ามีอยู่มากมายหลายชนิดด้วยกัน
มีทั้งนกที่หากินบนดิน ในพุ่มไม้และบนเรือนยอดระดับสูง
ที่พบเห็นได้บ่อย เช่น นกกระทาทุ่ง ไก่ป่า นกยูง นกคุ่ม
และนกในวงศ์นกเขา นกเค้า นกแก้ว นกตบยุง และอื่น ๆ อีกหลายชนิด
สัตว์เลื้อยคลานที่สำคัญในป่าชนิดนี้ ได้แก่
เต่าเหลือง กิ้งก่าบินในสกุล กิ้งก่าหัวแดง ตะกวด แย้
นอกจากนี้ยังมีจิ้งเหลนในหลายสกุล งูในหลายสกุลและชนิด
ตุ๊กแกป่า เต่าน้ำและตะพาบน้ำในลำห้วยในป่าชนิดนี้
สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกน่าจะมีอยู่น้อย
แต่โดยแท้จริงพบได้ค่อนข้างมาก
ทั้งนี้เนื่องจากป่าเต็งรังก็มีแหล่งน้ำเช่นเดียวกับป่าชนิดอื่น
และมีสัตว์กลุ่มนี้ที่ปรับตัวเข้ากับความแห้งแล้งได้ดีอยู่หลายชนิด
เช่น อึ่งกรายลายเลอะ คางคกแคระ คางคกบ้าน
และเขียดชนิดต่าง ๆ
ระบบนิเวศของป่าเต็งรัง
ระบบนิเวศของป่า
ชนิดนี้มีลักษณะเด่น
เช่นเดียวกับป่าผลัดใบในเขตร้อนทั่วไป คือ
มีพลังงานจากดวงอาทิตย์พอเพียงสำหรับพืชในการสร้างอินทรีย์วัตถุ
แต่การสังเคราะห์แสงและการหลั่งไหลของพลังงานมักถูกจำกัดในช่วงฤดูแล้ง
ผลผลิตในขั้นมูลฐาน และความหลากหลายของชนิดพันธุ์
อาจน้อยกว่าสังคมพืชอื่นอยู่บ้างเนื่องจากช่วงฤดูการเติบโตค่อนข้างสั้น
สาเหตุจากความแห้งแล้ง ความสมบูรณ์ของดินค่อนข้างต่ำ
แต่ก็มิได้เป็นปัญหาที่สำคัญต่อความสมบูรณ์ของสังคม
ผลผลิตส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วงฤดูฝนเมื่อความชื้นในดินมีเพียงพอ
การพักตัวของพืชสีเขียวเกิดขึ้นในฤดูแล้งเมื่อน้ำในดินขาดแคลน
พันธุ์ไม้ทุกชนิดผลัดใบทิ้งเพื่อลดการคายน้ำและหยุดการเจริญเติบโต
การเจริญเติบโตและการสืบพันธุ์ของไม้ส่วนใหญ่ในสังคมนี้ขึ้นอยู่กับความชื้น
และคุณภาพของดิน
ป่าชนิดนี้จะสมบูรณ์สุดเมื่อขึ้นอยู่บนที่ที่มีโครงสร้างเป็น sandy
clay loam ลักษณะค่อนข้างเป็นกรด
จากรายงานมักปรากฏว่าป่าเต็งรังในลุ่มน้ำพองของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
หมู่ไม้ทั่วไปมีลักษณะโปร่ง มีเรือนยอดปกคลุมประมาณร้อยละ 60
มีความหนาแน่นเฉลี่ยของต้นประมาณ 496 ต้นต่อเฮกแตร์
มีพื้นที่หน้าตัดประมาณ 15.78 ตารางเมตรต่อเฮกแตร์
จากการวิเคราะห์ข้อมูลป่าเต็งรังที่กระจายอยู่ในทางภาคเหนือของประเทศใน
สังคมย่อยต่าง ๆ ไม่มีความหนาแน่นตั้งแต่ 410
ต้นต่อเฮกแตร์ขึ้นไปจนถึง 602.50 ต้นต่อเฮกแตร์
พื้นที่หน้าตัดตั้งแต่ 10 -23.87 ตารางเมตรต่อเฮกแตร์
ค่าที่ประเมินได้จากต้นไม้ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียงอก เกินกว่า
4.5 เซนติเมตรขึ้นไป ซึ่งถือว่าผ่านพ้นการทำลายของไฟป่า
ในพื้นที่ที่ถูกทำลาย
อย่างหนักและต่อเนื่องเป็นเวลานาน
มีไฟป่าเกิดขึ้นอย่างรุนแรงทุกปี
สังคมป่าชนิดนี้อาจเปลี่ยนรูปไปจนมีลักษณะที่คล้ายป่าทุ่ง
คือมีต้นไม้ขึ้นห่าง ๆ ผสมด้วยหญ้าและพืชล้มลุกที่ค่อนข้างสูง
ไม่ที่หลงเหลือและที่รุกล้ำเข้ามาส่วนใหญ่เป็นไม้หนามแสดงให้เห็นถึงสภาพดิน
ที่เลวลงแบะขาดน้ำ ไม้ที่พบเห็นได้เด่นชัดเช่น
หนามเล็บแมว หนามหัน หนามเสมา หนามเค็ด ตะขบป่า ตะขบไทย
และเล็บเหยี่ยว
เป็นที่ยอมรับแล้วว่า
ป่าเต็งรังคงสภาพอยู่ได้เนื่องจากไฟป่า คือ
เป็นสังคมถาวรที่มีไฟป่าเป็นปัจจัยกำหนด
หากมีการป้องกันไฟป่าติดต่อกันเป็นเวลายาวนาน
สังคมนี้จะเปลี่ยนไปสู่สังคมพืชที่ชื้นกว่า คือ
สังคมป่าผสมผลัดใบหรือต่อไปถึงป่าดงดิบแล้ง
โดยเริ่มต้นด้วยการลดประสิทธิภาพการสืบพันธุ์ของไม้ดัชนีโดยเฉพาะเหียง
พลวง เต็ง รัง
ทั้งนี้เนื่องจากเมล็ดของไม้เหล่านี้ไม่สามารถตกถึงพื้นดินได้
การงอกของเมล็ดเป็นไปอย่างรวดเร็วหลังการตกและรากมักแห้งตาย
กล้าไม้และไม้ขนาดกลางมักอ่อนแอลงและเมื่อได้รับแสงน้อย
เนื่องจากไม้อื่นที่ขึ้นหนาแน่นก็ตายไป
สภาพดินที่ชื้นขึ้นอาจเป็นสาเหตุให้ไม้ดัชนีดังกล่าวล้มตายลงในที่สุดไม้ป่า
ที่ชอบสภาพแวดล้อมแบบใหม่ก็จะเข้ามาทดแทน
สังคมป่าเต็งรังเดิม คาดว่าไม่เกิน 50 ปี ก็หมดสภาพ
ขึ้นอยู่กับสภาพเดิมว่ามีความแห้งแล้งเพียงใด
การแปรผันของสังคมพบ
เห็นได้เด่นชัดในรอบปี หากพิจารณาตั้งแต่ปลายฤดูฝนจากเดือนพฤศจิกายน
พันธุ์ไม้เกือบทุกชนิด
ไม่ว่าไม้ขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่เริ่มมีการผลัดใบทิ้งเพื่อเตรียมตัวรับความ
แห้งแล้ง ใบที่เคยเขียวสดก็เปลี่ยนเป็นสีเหลือง แดง น้ำตาล
แล้วแต่ชนิดพันธุ์
ประมาณเดือนธันวาคมก็เริ่มร่วงหล่นลงสู่ดินพืชล้มลุกบนพื้นป่าแห้งตาย
การเปลี่ยนสีใบค่อนข้างเด่นชัดมาก
หากความหนาวเย็นของอากาศเคลื่อนตัวลงมาอย่างฉับพลัน
ในช่วงนี้ป่าเต็งรังจะมีความงามเป็นพิเศษ
และสามารถแยกได้อย่างเด่นชัดจากป่าชนิดอื่น ประมาณเดือนมกราคม
ถึงกุมภาพันธ์ ไฟป่าก็เริ่มขึ้น
ความรุนแรงของไฟขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของใบไม้และหญ้าบนพื้นป่า
หลังจากช่วงนี้เรือนยอดป่าคงเหลือแต่กิ่งก้านและพื้นป่าโล่งเตียน
ประมาณกลางเดือนมีนาคมเป็นต้นไปพันธุ์ไม้หลายชนิดของป่าเต็งรังเริ่มออกดอก
ผลเพื่อการโปรยเมล็ดให้ทันต้นฤดูฝนในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม
ประมาณต้นเดือนพฤษภาคม
อันเป็นการเริ่มต้นของฤดูกาลเจริญเติบโตของสังคมนี้
การโปรยเมล็ดของไม้ใหญ่เริ่มขึ้นในต้นฤดูฝน
ก่อนพื้นป่าจะรกทึบด้วยพืชคลุมดิน
พืชเหล่านี้ทยอยกันงอกตั้งแต่ฝนแรกของฤดูกาล
พืชคลุมดินที่ต้องการแสงมากมักปรากฏก่อนที่ใบไม้ในชั้นเรือนยอดจะแตกใบอ่อน
และการเจริญเติบโตแผ่คลุมพื้นที่เต็มที่
พืชเหล่านี้มีการพัฒนาวงจรชีวิตให้สั้น
มีการเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วและถึงช่วงการออกดอกผลได้ในระยะสั้น
บางชนิดอาจโปรยเมล็ดเมล็ดอาจต้องรอเวลานานก่อนที่จะสมบูรณ์และงอกได้
บางชนิดมีเมล็ดคาอยู่บนต้นจนสิ้นฤดูฝน
ชนิดที่ชอบแสงมากขึ้นเด่นนำก่อนส่วนชนิดที่ต้องการแสงน้อยจะทยอยขึ้นติดตาม
มาเป็นลำดับ ก่อให้เกิดฉากสลับกันไป (alternative phase)
ในพื้นป่า
การเจริญเติบโตของไม้ใหญ่ค่อนข้างมีอัตราที่สูงในช่วงหลังจากใบเจริญเติบโต
เต็มที่
อัตราการเติบโตลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อใกล้สิ้นฤดูฝนและมีการปรับสภาพทางสรีระ
เพื่อการพักผ่อนต่อไป
การผันแปรในรูปของวัฏจักรเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี
การปรับตัวเพื่อความ
สัมพันธ์กับสภาพการเกิดไฟป่าของพันธุ์ไม้ในป่าเต็งรังเป็นได้ค่อนข้างชัดเจน
ในหลายประการ
โดยเฉพาะการจัดช่วงเวลาของการโปรยเมล็ดให้สัมพันธ์กับไฟป่า
พันธุ์ไม้ที่มีเมล็ดบอบบางไม่ทนไฟมักเลือกช่วงโปรยเมล็ดพันธุ์ในช่วงต้นฤดู
ฝนหลังฤดูกาลของไฟป่า เมล็ดสามารถตกต้องผิวดิน
รากที่งอกมาใหม่ ๆ
สามารถหยั่งลงดินเพื่อรับความชื้นป้องกันการแห้งตาย
ส่วนเมล็ดไม้บางชนิดปรับตัวเพื่อผ่านฤดูไฟป่าด้วยมีเปลือกแข็งป้องกันความ
ร้อนได้ดี
ไฟป่าอาจมีส่วนช่วยในการทำให้เปลือกสามารถดูดซับน้ำได้ดีขึ้นในช่วงการงอก
เมล็ดไม้กลุ่มนี้มักโปรยเมล็ดในช่วงปลายฤดูฝนและต้นฤดูร้อน
กล้าไม้ของพันธุ์ไม้ในป่าเต็งรังส่วนใหญ่มีความสามารถในการแตกหน่อหลังไฟป่า
ได้ดี (burned back phenomena)
บางชนิดมีช่วงแตกหน่อเพื่อสร้างความแข็งแรงของรากยาวนานถึง 15 ปี
การป้องกันเนื้อเยื่อเจริญ (cambium)
ด้วยวิธีการมีเปลือกที่หนาพร้อมทั้งส่วนนอกที่แข็งทนไฟและกันความร้อนได้ดี
ปรากฏในทุกชนิด
ส่วนพืชล้มลุกอาศัยการตายของลำต้นแต่ฝังหัวและรากที่มีตาเจริญเพื่อการแตก
หน่อกลับขึ้นมาใหม่ในช่วงฤดูฝน
อันเนื่องจากสภาพทาง
นิเวศวิทยาของสังคมพืชที่ไม่เหมือนกับป่าดงดิบโดยทั่วไป
ผู้เสพในป่าเต็งรังต้องปรับสภาพทางนิเวศวิทยาในหลายประการด้วยกันเพื่อการ
อยู่รอดในป่าชนิดนี้
หลายชนิดมีการโยกย้ายถิ่นออกไปจากสังคมในช่วงฤดูแล้งและกลับเข้ามาอาศัยใหม่
ในช่วงฤดูฝน เช่น ชะนี พญากระรอก ค่างแว่นถิ่นเหนือ ลิงกัง เป็นต้น
ประชากรสัตว์ป่าหลายชนิดที่อาศัยอยู่ในป่าชนิดนี้เป็นประจำมักมีการปรับชีพ
จักรให้เข้ากับการผันแปรของสังคม โดยเฉพาะฤดูกาลผสมพันธุ์ เช่น นกยูง
ไก่ป่า และนกกระทาทุ่ง
มีช่วงการผสมพันธุ์และวางไข่ในราวเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์
ซึ่งการสะสมความสมบูรณ์ภายในร่างกายจากช่วงฤดูฝนขึ้นถึงจุดสูงสุด
ไข่ปลอดภัยจากความเสียหาย เนื่องจากความชื้น
ลูกอ่อนที่ออกมาในช่วงฤดูแล้งปลอดจากโรคและมีอัตราการรอดตายสูง
เมื่อเข้าต้นฤดูฝนก็มีความแข็งแรงและสามารถเจริญเติบโตเต็มที่
ฉะนั้นประชากรของนกกลุ่มนี้จะมีความหนาแน่นสูงสุดในช่วงปลายฤดูแล้ง
ประชากรของสัตว์ป่าขนาดใหญ่ เช่น ช้างป่า และวัวแดง
ก็มีการปรับตัวให้สัมพันธ์กับความแปรผันของป่าชนิดนี้ไม่น้อยเช่นกัน
เนื่องจากสัตว์ป่าขนาดใหญ่มีถิ่นหากินที่กว้างขวางครอบคลุมหลายสังคมพืช
จึงเป็นการยากที่จะประเมินมวลชีวภาพที่สัมพันธ์กับสังคมพืชหนึ่งสังคมพืชใด
โดยเฉพาะ
อย่างไรก็ตามในช่วงฤดูฝนสัตว์ป่าเหล่านี้มักเข้ามาใช้ประโยชน์ป่าเต็งรัง
ค่อนข้างสูงมาก
ในส่วนของผู้ย่อยสลาย
ประกอบด้วยสัตว์ขนาดเล็ก
ซึ่งเป็นผู้แยกส่วนของพืชที่ตายแล้วให้เล็กลง อันได้แก่
ปลวกและสัตว์ที่ผิวดินอื่น ๆ (soil fauna) บนพื้นป่า
นอกจากนี้ก็มีเชื้อรา ซึ่งก็มีเห็ดหลายชนิดที่ขึ้นบนเนื้อไม้ ใบ
และส่วนอื่น ๆ ของพืชรวมถึงที่ขึ้นบนอินทรีย์วัตถุที่ผสมอยู่ในดิน
แบคทีเรียก็เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่ตัวย่อยสลายในป่านี้

ระบบนิเวศของป่า
เต็งรังจัดได้ว่าเป็นระบบนิเวศที่มีการหมุนเวียนของสารและ
การหลั่งไหลของพลังงานค่อนข้างรวดเร็ว ความชื้นในช่วงฤดูฝนที่มีระยะเวลา
ประมาณ 5-6 เดือน
นับว่าเพียงพอสำหรับการทำงานของผู้สลายอินทรียวัตถุที่จะทำลายซากพืชขนาด
เล็ก เช่น กิ่ง และใบให้หมดไปได้ และคืนธาตุอาหารสู่ดิน
ไฟป่านับได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่เป็นกลไกในการกำจัดซากพืชซากสัตว์ให้หมดไป
ในสภาพป่าที่สมบูรณ์
การหลั่งไหลของธาตุอาหารที่ต้องเสียไปกับการกัดชะของฝนที่ผิวดินค่อนข้างต่ำ
แม้ว่าจะมีไฟป่าก็ตาม
ทั้งนี้เนื่องจากพืชคลุมดินเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วในช่วงต้นฤดูฝนและยึด
เหนี่ยวดินไว้ การสูญเสียตะกอนที่ผิวดินตกประมาณ 471
กิโลกรัมต่อเฮกแตร์ต่อปี
อย่างไรก็ตามธาตุอาหารพืชเหล่านี้ได้เพิ่มจากการผุสลายตัวของหินเข้ามาทดแทน
จึงทำให้ป่าเต็งรังยังคงความสมบูรณ์อยู่ได้ถ้าหากมีการจัดการที่เหมาะสม
ธรรมชาติยังคงปรับเปลี่ยนหมุนเวียนไป คอยให้คุณประโยชน์ต่อมนุษย์
ซึ่งมันเป็นเหมือนเสียงสะท้อนที่แผ่วเบาจากธรรมชาติที่อยากจะบอกมนุษย์ว่า ถึงเวลาที่เธอจะให้ประโยชน์ต่อฉันบ้างแล้วล่ะ........
http://www.huaikhakhaeng.net/forest/dip.html